หางกระรอก
ชื่อสมุนไพร | หางกระรอก |
ชื่ออื่นๆ | ว่านเสลดพังพอน ดอกหางเสือ หางเห็น |
ชื่อวิทยาศาสตร์ | Uraria acaulis Schindl. |
ชื่อพ้อง | |
ชื่อวงศ์ | Leguminosae-Papilionoideae |
ลักษณะทางพฤกษศาสตร์
ไม้พุ่มล้มลุกขนาดย่อม สูง 10-25 เมตร ลำต้นสั้นมากหรือไม่ชัดเจน มีขนหยาบแข็งหนาแน่น รากมีไหล ใบประกอบมี 1 ใบย่อย เรียงเวียน รูปไข่กว้างหรือเกือบกลม กว้าง 3-4.5 เซนติเมตร ยาว 3.5-5 เซนติเมตร ปลายมน มีติ่งหนาม โคนรูปหัวใจ ขอบเรียบ แผ่นใบกึ่งหนาคล้ายแผ่นหนัง มีขนหยาบแข็งทั้งสองด้าน เส้นแขนงใบข้างละ 5-6 เส้น มีขนหยาบแข็ง ก้านช่อใบยาวเท่าหรือยาวมากกว่าแผ่นใบ ก้านใบย่อยยาวประมาณ 5 มิลลิเมตร หูใบรูปสามเหลี่ยม ยาว 1-1.5 เซนติเมตร ปลายเรียวแหลม ติดทน หูใบย่อยยาว 4-5 มิลลิเมตร ช่อดอกแบบช่อกระจะ ออกที่ปลายยอด ช่อแน่น รูปทรงกระบอก กว้าง 2-3 เซนติเมตร ยาว 3-15 เซนติเมตร ปกคลุมด้วยขนหยาบแข็ง ก้านดอกย่อยยาว 1-2 มิลลิเมตร เมื่อเป็นผลยาวประมาณ 1.5 เซนติเมตร ใบประดับสีชมพู รูปไข่แกมรูปใบหอก กว้าง 4-5 มิลลิเมตร ยาว 1.2-1.5 เซนติเมตร ปลายเรียวแหลม มีขนแข็งยาวหนาแน่น กลีบเลี้ยงโคนเชื่อมติดกันเป็นหลอดยาวประมาณ 1 มิลลิเมตร ปลายแยกเป็น 5 แฉก ขนาดไม่เท่ากัน มีขนแข็ง แฉกล่างยาวกว่าแฉกบน กลีบดอก 5 กลีบสีชมพู ยาว 5-6 มิลลิเมตร ร่วงเร็ว กลีบกลางรูปหัวใจกลับ กว้างประมาณ 4 มิลลิเมตร กลีบคู่ข้างมีติ่ง กว้างประมาณ 1.5 มิลลิเมตร กลีบคู่ล่างมีติ่ง กว้าง 1-4 มิลลิเมตร มีก้านกลีบยาว รังไข่อยู่เหนือวงกลีบ มี 1 ช่อง มีออวุล 2 เม็ด ฝักมีกลีบเลี้ยงติดคงทน พบตามป่าเบญจพรรณ ป่าเต็งรัง ป่าดงดิบเขาทั่วไป ขยายพันธุ์ด้วยเมล็ด ออกดอกออกผลราวเดือนกุมภาพันธ์ ถึงกรกฎาคม
ลักษณะวิสัย
ใบ
ดอก
สรรพคุณ
ตำรายาไทย ใช้ ราก รสจืดเย็นเบื่อ ฝนกับสุรา หรือน้ำมะนาวรับประทาน และทาแก้พิษงู พิษขบกัด แก้พิษสัตว์กัดต่อย
ตัวอย่างพรรณไม้แห้ง : phar.ubu.ac.th/herb-thaiherbarium/